วันอาทิตย์

"ชาตินี้"พี่ขอ




ในที่สุด Brexit ก็ชนะ Bremain...อย่างนี้ต้องลาออก จะขอลาออก..รู้แล้วรู้รอดไป

อังกฤษขอ "ตัดช่องน้อยแต่พอตัว" ไม่อยากแบกรับภาระ "หนี้สิน" ของเพื่อนสมาชิกในสหภาพยุโรป รวมถึงการจะต้องยอมรับกฎหมาย "ผู้อพยพ" ที่เริ่มเป็นปัญหา "หนัก"

อย่างว่า เป็นใครก็ต้อง "คิดถึงตัวเองก่อน" ยิ่งเป็น "ผู้ดีอังกฤษ" ด้วยแล้ว มีหรือจะยอมเสียเปรียบให้ใคร "ง่ายๆ"

ก็ต้องยกย่อง "สปิริต" ของนายเดวิด คาเมรอน นายกรัฐมนตรีของอังกฤษ ที่ประกาศลาออก หลังจากทราบผลการทำประชามติ เพราะเขาเป็น "แกนนำ" เรียกร้องให้ UK อยู่กับ EU ตามเดิม

แต่อีกท่านที่จะอดกล่าว "ยกย่อง" ไม่ได้ก็คือ นายกรัฐมนตรี "อังเกลา แมร์เคิล" แห่งเยอรมนี ซึ่งเป็น "เสาหลัก" ของอียู ที่กล่าวว่า "EU แข็งแกร่งพอที่จะหาคำตอบที่ถูกต้อง" และยังให้ข้อ "เตือนใจ" ชาว UK ว่า

"ความคิดในการรวมชาติต่างๆในยุโรปเป็นหนึ่งเดียว เป็นความคิดที่มีเจตนาไปสู่การมีสันติภาพ หลังเกิดเหตุการณ์นองเลือดในยุโรปมายาวนานหลายศตวรรษ คนรุ่นพ่อของเราพบหนทางในการมาร่วมมือกัน และการประกาศสนธิสัญญากรุงโรมเมื่อเกือบ 60 ปีก่อน"

สมกับที่เป็น Made in Germany ความ "ใจกว้าง" เมื่อครั้งทลาย "กำแพงเบอร์ลิน" ทำให้เศรษฐกิจประเทศ "ทรุด" อยู่หลายปี แต่ "ความดี" ครั้งนั้น กลับทำให้ "แข็งแกร่ง" ยิ่งขึ้นในวันนี้


และเชื่อว่าความ "ไม่เห็นแก่ตัว" และพร้อมจะ "สู้ต่อไป" ของเยอรมนีในครั้งนี้  คงส่งผลกระทบต่อ "ชาติ" ในระดับหนึ่ง แต่ระยะยาว จะยิ่งสร้าง"บารมี"ให้แก่ผู้นำประเทศ และศักดิ์ศรีของชนในชาติ

เหลียวมองมายังบ้านเรา "พระพุทธศาสนา" ที่บรรพบุรุษสู้อุตส่าห์ "ปกปักษ์รักษา" มาด้วยชีวิต..วันนี้ต้องมาเจอผู้ที่ "งานตัวเองมีไม่ทำ ทีงานคนอื่นหละขยันจะทำ"
https://www.facebook.com/permalink.php?story_fbid=1170417646354779&id=1072393339490544

"คดีความ"ในประเทศนี้ มันไม่มีให้ทำแล้วหรือไง ถึงต้องไปเรียก "ลูกน้อง" กระทรวงอื่นมา "สั่งงาน" ความรู้ในงานก็ไม่มี  ความดีในตัวก็ไม่เคยปรากฎ เพราะมัวคิดแต่ว่า

ชาตินี้ "พี่" จะไม่ขอทำไร ขอแค่ได้จับ "พระภิกษุ" ให้ได้ซักวัน!!!

กึ่งศตวรรษ..




วันพฤหัสบดี

ถึงคราต้องใช้คาถา..





ถ้าปี 2513 "คุณยายแม่ชีจันทร์ ขนนกยูง" สร้างวัดเล็กๆอยู่ตามลำพัง กับลูกศิษย์ที่สนใจในการปฏิบัติธรรม วันนี้ "วัดพระธรรมกาย" จะมีคนรู้จักซักเท่าไร!!!

ถ้า "พระไชยบูลย์ ธัมมชโย" แค่สอนสมาธิให้แก่ลูกศิษย์แบบวัดทั่วๆไป "ประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนา" จะมีหน้านี้หรือไม่!!!

ถ้า "พระเผด็จ ทัตตชีโว" อบรมแค่เด็กวัดไม่กี่คน ไว้คอยช่วยงานปัดกวาดเช็ดถู จะมีกองทัพนักข่าว "บุกวัด" ดังเช่นวันนี้หรือเปล่า!!!

เพียงแค่ 40 กว่าปี แห่งการก่อตั้ง วันนี้ ดังระดับโลก!!! 

มีพระเณร มากกว่า 4000รูป!!!

มีเจ้าหน้าที่อุทิศตนช่วยงานมากกว่า 3000คน!!!

มีสาขาทั้งในและต่างประเทศมากกว่า 200แห่ง!!!

มีถาวรวัตถุประเมินราคาแล้ว มากกว่า 40000 ล้านบาท!!!

"ประวัติศาสตร์ชาติ" ตั้งแต่สมัย "พ่อขุน" เจ็ดร้อยกว่าปีไม่เคยมี!!!

ทำไมถึงสร้างใหญ่โต!!!... เอาเงินมาจากไหน?

สอนอะไร? สอนยังไง?... ทำไมถึงมีแต่คนหนุ่มสาวเข้าวัด!!!

เอาคนที่ไหนมาบวชเป็นหมื่นเป็นแสน!!!... จ้างมาเท่าไร?

ตักบาตรทีเป็นแสนเป็นล้าน!!!... เกณฑ์คนมาหัวเท่าไร?

หากผู้ที่ดูแล "บริหารบ้านเมือง" ดูแล "ความสงบเรียบร้อยของชาติ" ไม่ตั้งคำถามเหล่านี้ในใจ ก็สมควรลาออกไป "ทำไร่ไถนา"

แต่ถ้ามีคำถามในใจ แล้วไม่มาหาคำตอบด้วยตัวเอง รับฟังแต่ข้อมูลแล้วเชื่อ!!!...นอกจากจะทำไร่ไถนาแล้ว ควรจะปลูกถั่วปลูกงาไปด้วย

ยอมรับว่าโดยภาพลักษณ์แล้ว "วัดพระธรรมกายน่ากลัวเกินไป" รวยเกิน! ใหญ่เกิน!!  คนเยอะเกิน!!! จัดตั้งเกิน... และ "สอนเก่งเกิน" สอนยังไงคนถึงเชื่อหัวปรักหัวปรำ!!!

ด้วยเหตุที่ไม่เคยมี และด้วยความที่ไม่เคยเกิดขึ้น "บนผืนแผ่นดิน"  จึงไม่แปลกใจที่จะเป็น "ตำบลกระสุนตก" ในเวลานี้ หรือในคราวที่ต้องการให้กระแสสื่อ "กลบข่าว" อะไรบางอย่าง!!!

ศิษยานุศิษย์ก็คงต้อง "เหนื่อยหนัก"ในการชี้แจงข้อมูลข่าวสาร แต่ถ้าผลิกวิกฤตให้เป็นโอกาส "เคลียร์คัตชัดเจน" ข้อสงสัยที่ค้างคาใจสังคมมานานวัน เชื่อว่าเมื่อ "ฟ้าหลังฝน" หลังจากผ่านพ้น "มรสุม" ครานี้ไปได้ วัดพระธรรมกาย จะก้าวไปสู่ "ระดับโลก" อย่างเต็มภาคภูมิ

ทองแท้ไม่กลัวไฟก็จริง..แต่ก็กลัวขโมย รบกันบนข้อ "แท้จริง" เชื่อว่าศิษย์วัด "เอาอยู่" แต่เห็น "รูปคดี" ที่พี่คน D พยายาม "จัดให้" แล้ว ก็ต้องบอกว่า "ไม่ได้ด้วยเล่ห์ ก็เอาด้วยกล ไม่ได้ด้วยมนต์ ก็ต้องขอใช้คาถา" แล้วหละโว้ย!!!

กึ่งศตวรรษ..



วันอาทิตย์

รัก "ฮีโร่"




วัดพระธรรมกายสอนให้ "งมงายในบุญ"

วัดพระธรรมกายเน้นแต่ "ระดมทุน"

วัดพระธรรมกายชอบ "สร้างภาพ"

วัดพระธรรมกาย "บริหารจัดการ"

ยังไม่นับอีกหลายข้อ "ชื่นชม" ที่พร้อมใจกัน "ยกย่อง" หลวงพ่อธัมมชโย และ วัดพระธรรมกาย  ที่สามารถ "เป็นหลัก" ให้แก่พระพุทธศาสนา และ ขยายงาน "ไปทั่วโลก"

สอนให้ "งมงายในบุญ" รมว.กระทรวงศึกษา น่าจะมา "กราบขอคำแนะนำ" จากทางวัด ว่าจะขจัดปัญหา เด็กตีกัน  ขาดความเคารพในครูบาอาจารย์  ไม่เชื่อฟังพ่อแม่ ได้อย่างไร...เพราะขนาด "บุญ" มองไม่เห็น สัมผัสไม่ได้ ยังสามารถ "สอน" กันได้ขนาดนี้

เน้น "ระดมทุน" รมว.ฝ่ายเศรษฐกิจทั้งหลาย ควรจะมา "กราบขอคำปรึกษา" จากหลวงพ่อ ว่าท่านมี ไอเดีย "โนว์ฮาว" อะไร คนถึงได้ "หลั่งไหล" กันมา "บริจาค" แบบมืดฟ้ามัวดิน จนสามารถ "ขยายสาขา" ไปได้ทั่วโลก

ชอบ "สร้างภาพ" รมว.วัฒนธรรมและการท่องเที่ยว ควรรีบมา "กราบขอคำชี้แนะ" ว่าทำอย่างไร ให้ประเทศไทยเราเป็น "อเมซิ่งไทยแลนด์" ที่นานาชาติ "ยกย่อง" และ รู้สึก "ปลอดภัย" ที่จะมาเที่ยว.. แม้กลับไปแล้ว ก็ อยากมาอีก รวมถึงไป "บอกต่อ"

เก่ง "บริหารจัดการ" ข้อนี้ ต้องให้ ท่านนายก สั่ง ทุกกระทรวง ทบวง กรม ให้มาดูงาน ว่า ขนาดวัดเขาเป็นองค์กรที่มิได้ "แสวงหาผลกำไร" อยู่กันด้วย "ศรัทธา" มิใช่ "เงินเดือน" ยังสามารถ "สร้างจิตสำนึก" แห่งความเป็น "ยูนิตี้" ที่มีความเป็นระบบ ระเบียบ เรียบร้อย สะอาดสะอ้าน และตรงต่อเวลา

แทนที่จะมา "ไล่จับพระ" ให้เป็นที่ "เหยียดหยามประณาม" กันไปทั่วโลก ว่าเป็น "ศูนย์กลางพระพุทธศาสนา" ในยุคนี้ กลับมา "ทำเรื่อง" "ไม่เป็นเรื่อง" "ให้มันเป็นเรื่อง" โดยการ "ยกโขยง" กันมา ราวกับจะ จับกุมผู้ก่อการร้าย

มีคนเก่ง แต่ไม่ใช้ นอกจากไม่ใช้แล้ว ยังจ้อง "ทำลาย" เหมือนที่ ชอบพูดกันเลยว่า คนไทยทนเห็นใครเก่งเกินหน้าไม่ได้... แต่ถึงอย่างไรก็ไม่เชื่อ เพราะเด็กๆเดี๋ยวนี้ ยกย่อง "ฮีโร่" กันจะตาย  ดูอย่าง "เมสซี่เจ" หรือ น้องเมย์" ล้วนมีแฟนทั่วบ้านทั่วเมือง.. จะมีก็เหลือแต่คน "แก่" หัวโบราณเท่านั้นแหละค้า ที่ยัง "ขี้อิจฉา"


กึ่งศตวรรษ..



วันศุกร์

"ท่าน"ขออยู่กับยาบ้า




"ไอ้แกละ วิ่งไปซื้อยาบ้าให้พ่อหน่อย ปวดหัวจะระเบิด"

"ส้มเอ้ย ไปร้านโกกุ่ย ซื้อยาบ้าให้แม่หน่อย ปวดท้องจังเลย"

ยาสามัญประจำบ้านของไทยยุค รมว.ยุติธรรมชื่อว่า "ไพบูลย์ คุ้มฉายา"

"เมื่อปราบไม่สำเร็จก็ต้องอยู่ร่วมกัน" ไม่ต้องแอบซื้อแอบขายกันแล้ว "ขึ้นหิ้ง โชว์ห้าง" กันไปเลย

จาก "ยาม้า" เป็น "ยาบ้า" ในสมัยคุณ "เสนาะ เทียนทอง" เพราะเห็นถึง "ภัย" และความ "อันตราย" ของการเสพยาชนิดนี้ "จึงเปลี่ยนชื่อให้ดูน่ากลัว" เพื่อคนจะได้เสพน้อยลงเพราะ "กลัวบ้า"

ก็ตั้งแต่ท่านขึ้นมาเป็น "รมว.ยุติธรรม" ก็ไม่ค่อยจะเห็นว่ามี "ผลงาน" ด้านนี้ซักเท่าไร นอกจากลุยถั่วเรื่อง "รถโบราณ" กับเรื่อง "พระอาพาธ"

เชื่อว่าถ้า "ท่าน" สั่งหน่วยงาน DSI ของท่าน ให้หาคนมา "ฟ้อง" พ่อค้ายาบ้าซัก 2-3 คน ผนึกกำลังกับ "หลวงพี่สุวิทย์ วัดอ้อน้อย" อีกซักรูป แล้วรีบ "ตั้งข้อหา"

ตามด้วย "ส่งหมายเรียก" ถ้ายังไม่มา ก็รีบไปศาลขอ "หมายจับ" ตามด้วย "หมายค้น" แล้วเพื่อความชัวร์ ก็เตรียมขอให้ทางตำรวจช่วย "สนธิกำลัง" กันไว้ล่วงหน้า พอพร้อมแล้วก็ "บุกจับ"

ถ้าท่านทำตามแผนที่ "เสนอ" ไปตามลำดับนี้ โดยอย่าให้มัน "เลยขั้นตอน" ไปแม้แต่นิดเดียว ยาบ้าไม่หมดไปจากประเทศไทยก็ให้มันรู้ไป

ไม่งั้นในอนาคต ก็คงต้องมาตอบคำถาม "เจ้าแกละกับน้องส้ม" ว่าทำไม "ยาบ้า" ถึงกลับมาขายได้อีก แล้วแม่ก็คงต้องกลั้นน้ำตาตอบลูกว่า เพราะ "ยาบ้าทั้งประเทศ" มันสู้ "พระชรา" องค์เดียวไม่ได้ไงหละลูก

กึ่งศตวรรษ..




วันอังคาร

คุณหลอกดาว




"ดาว"สาวมิสทีน ตกน้ำขณะเล่นเซิร์ฟ และถูกช่วยโดยหนุ่มนิรนามที่ตอนหลังมาเฉลยว่าชื่อ"ตะวัน"

หลังจากที่ตะวันช่วยดาวขึ้นมาจากน้ำ มีเหตุให้ต้องตามหากล้องถ่ายรูป ซึ่งเป็นอุปกรณ์สำคัญ จึงฝากดาวไว้กับ"ชาติ"

เมื่อดาวฟื้นขึ้นมา หลงคิดว่าชาติเป็นคนช่วย และชาติก็ "สวมรอย" รับความเข้าใจผิดนั้น จนวันหนึ่ง "ความแตก" ว่าชาตินั้น "ว่ายน้ำไม่เป็น"

"คุณหลอกดาว" จึงเป็นวลีฮิตในยุคนั้น หมายถึงการเข้ามา "สวมรอยช่วยเหลือ"

"บิ๊กต๊อก"ทีแรกก็ดูเหมือนว่าจะ "ท่าดี" เป็นห่วงสมาชิกสหกรณ์จำนวนหมื่นกว่าคน "ที่สูญเสียเงิน" ซึ่งฟังแล้ว "น้ำตาจิไหล"

ไหงกลายเป็น "ทีเหลว" ไปได้ เพราะนอกจากจะ "ว่ายน้ำไม่เป็น" แล้วแถมยัง "ความแตก" อีกด้วย!!!

เงินหมื่นกว่าล้าน ตามแต่ ที่วัดพระธรรมกายแค่หกร้อยกว่าล้าน..ได้ยินว่าลูกศิษย์ลงขันคืนให้หมดแล้ว ส่วนอีกเก้าพันกว่าล้าน ไม่ไปตาม ต้องถือว่า "ว่ายน้ำไม่เป็น" แต่สวมรอยเหมือนกับ"ชาติ"

ส่วนที่ว่า "ความแตก" เพราะไปๆมาๆ ไม่ได้หวังจะได้เงินคืนให้สหกรณ์อะไรหรอก แต่ที่แท้จะมา "ตบทรัพย์" วัดเขานี่เอง


แทนที่จะไปตามหาเงินอีกเก้าพันกว่าล้าน กลับมาไล่บี้ "หลวงพ่อ" ซึ่งก็ไม่รู้ว่า จับไปแล้วสังคมจะได้อะไร สมาชิกหมื่นกว่าคนจะได้เงินคืนไหม แล้วอย่างนี้จะไม่ให้พูดว่า "คุณหลอกดาว" แล้วจะให้พูดว่าอะไรหละครับ"ท่าน"

กึ่งศตวรรษ..

คุณหลอกดาว

วันอาทิตย์

แปลกแต่จริง




"พี่ครับ วันอาทิตย์นี้ไปวัดกันไหม"
"วัดไหนเหรอ"
"วัดธรรมกาย"
"ไม่ไปหรอก  ระวังนะ  จะหมดตัว"

"น้อง คืนนี้มีทีเด็ดมั๊ย"
"เยอรมันซิพี่"
"ชัวร์"
"เออ..ฝากด้วยแสนนึง"

ชวนไปวัด โดนค่อนขอด ว่างมงาย ขายบุญ... ต้องชวนไปกินเหล้า เล่นพนันซิ ถึงจะแมนๆ ลูกผู้ชาย

ครับ.. เงินของเรา ชีวิตของเรา ใช้ซะ!

เงินอยู่ในกระเป๋าเรา ถ้าเราไม่ควักซะอย่าง ใครก็ "ฉก" ไปไม่ได้

คุณจะเลือก ขึ้นสวรรค์ หรือ ลงนรก มันก็แล้วแต่คุณ  ชีวิตของคุณ คุณเลือกเอง ว่าจะ "ขึ้นเหนือ" หรือ "ล่องใต้"

เมื่อคุณเลือกที่จะทำ สิ่งที่คุณชอบ มันก็สิทธิ์ของคุณ เพราะเงินของคุณ ชีวิตของคุณ ไม่ว่า จะกินเหล้า เมายา เข้าบ่อน หรือ "พนันบอล"

แล้วทำไม เขาเลือกที่จะทำสิ่งที่เขาชอบ เข้าวัด ฟังธรรม นั่งสมาธิ "บริจาคเงิน" ซึ่งมันก็เป็นสิทธิ์ของเขา คุณจะต้อง "เป็นเดือดเป็นแค้น"

ช่วงนี้มีการแข่งขันฟุตบอลยูโรที่ประเทศฝรั่งเศส  "โต๊ะเถื่อน" หาได้ง่าย พอๆกับหาซื้อ"กล้วยแขก"  ไม่เห็นทาง "รัฐ" จะเดือดเนื้อร้อนใจ  ซึ่งมันทั้ง "ผิดกฏหมาย" ทั้ง "เพิ่มอาชญากร" ทั้งบ่อน "ทำลายชาติ"

พระนั่ง "รับบริจาค" อยู่ที่วัด  เป็นการฟอกเงิน เป็นอาชญากรแผ่นดิน เป็นภัยต่อความมั่นคง  หรือว่า ถึงคราวที่หลวงปู่ หลวงตาทั้งหลาย  ต้องหารายได้เข้าวัด ด้วยการให้โยม "แทงบอล" กันในวัดซะแล้ว

กึ่งศตวรรษ..




วันศุกร์

ชาติหน้าตอนบ่ายๆ




เมื่อเจ็บไข้ได้ป่วย เราเดินไปซื้อยากินเองได้  แต่ถ้า"หนัก"ก็ต้องพึ่งหมอ  เพราะเราเชื่อว่าหมอรู้จักวิธีรักษา "หมอ" เรียนมาทางนี้

เมื่อจะสรุปรายรับ รายจ่ายส่วนตัว เราทำเองได้  แต่ถ้าเป็นบริษัทห้างร้านใหญ่ ตัวเลขจำนวน"มาก" ก็ต้องพึ่งนักบัญชี เพราะ "เขา" เรียนมาทางนี้

เมื่อทะเลาะกันข้างถนน เราไกล่เกลี่ยกันเองได้  แต่ถ้าเป็นเรื่องคดีความ ถึงโรงถึง"ศาล"ก็ต้องมีผู้พิพากษาตัดสิน เพราะมันเกี่ยวกับกฏหมาย และ  "ท่าน" เรียนมาทางนี้

สังคมไทยหรือแม้แต่ทั่วโลก ก็เป็นเช่นนี้ เคารพกันในความรู้ที่แต่ละคน ทุ่มเทศึกษากันมา คนละหลายๆปี  จนสามารถประกอบเป็นอาชีพ และ ทำหน้าที่ของตนอย่างเหมาะสม สังคมจึงอยู่กันอย่างสงบสุข

เจ้าคณะปกครอง ตลอดจนถึงมหาเถรสมาคม ท่านบวชเรียนกันมาตั้งแต่เป็นสามเณร จนเรียนจบเปรียญธรรม 9 ประโยค กล่าวคือ "ศาสตราจารย์ ด็อกเตอร์ ทางพระพุทธศาสนา"

ทีเรื่องอื่นๆ ยังใช้ผู้เชี่ยวชาญ ทีเรื่อง"พระ"กลับไปให้"โยม"ตัดสิน   ถามจริงเถอะ..ฆราวาสอย่างคุณ เอาอะไรไปตัดสิน ไปรู้ดีกว่า"ท่าน" คิดจะไปปฏิรูปพระพุทธศาสนา

เรื่องของ "พระ" ไม่ให้พระตัดสิน แก้ตัวให้ปากฉีกไปถึงรูหู ตะโกนให้ดังไปสามบ้านเจ็ดบ้านว่า "ไม่มีลับลมคมใน" เป็นไปตามกระบวนการ "ยุติธรรม" ก็คงต้องรอ "ชาติหน้าตอนบ่ายๆ" หละนะคู้น

กึ่งศตวรรษ..




วันอังคาร

คนไทยด้วยกัน




เห็นมีข่าวหลายๆฉบับ หลายๆสำนัก พูดเหมือนๆกัน ตามๆกัน ด้วยประโยคซ้ำๆกันว่า ให้หลวงพ่อธัมมชโย ยอมมอบตัวก่อน  แล้วค่อยประกัน เรื่องก็จะจบ เพราะจะได้เข้าสู่กระบวนการยุติธรรม

ถูกผิดไปว่ากันในชั้นศาล.. ก็ถ้าไม่ผิด  จะไปกลัวอะไร  เดี๋ยวศาลท่านก็ตัดสินเองแหละ  ฟังแล้วเหมือนจะดี   มีเหตุผล

ขับรถผ่านสี่แยก เห็นๆว่าไฟเขียว  แต่ตำรวจเขียนใบสั่ง ข้อหาขับรถฝ่าไฟแดง  คุณยอมไหม ก็คงต้องยอม เพราะถูกผิดไปว่ากันในชั้นศาล ไปพิสูจน์กันตอนนั้นหรือ

นอนอยู่กับบ้าน วันร้ายคืนร้าย ตำรวจมาค้น เจอยาเสพติด เจออาวุธเถื่อน..ไม่ผิดจะไปกลัวอะไร ไปสู้กันในชั้นศาล เอาอย่างนั้นหรือ

"พูดเอาง่าย" แต่ถ้าทำอย่างนั้นจริง ความเสียหายจะเกิดขึ้นอย่างใหญ่หลวง  อีกหน่อย ประเทศนี้ก็จะเป็นอะไรที่ง่ายๆ  ยัดเยียดข้อกล่าวหาก็ง่าย ใส่ร้ายป้ายสีกันก็ง่าย  เพราะเล่นแจ้งข้อหาก่อน  แล้วค่อยสอบสวน

หลวงพ่อธัมมชโย ท่านเสียสละเอาตัวเข้าแลกกับข้อครหา กับความไม่เข้าใจของคนทั่วไป ที่คิดว่าท่านไม่ยอมรับกระบวนการยุติธรรม จะลอยตัวอยู่เหนือกฏหมาย  ตั้งตนเป็นรัฐอิสระ

แท้จริงแล้ว ท่านต้องการรักษากฏหมาย รักษาความยุติธรรม  ยิ่งต้องการรักษาพระพุทธศาสนา  โดยมิยอมให้อำนาจอันมิชอบ มาบิดเบือนกฏหมาย มากลั่นแกล้งคนบริสุทธิ์ มาทำลายพระธรรมวินัย

หากการรับบริจาคเป็นการรับของโจร  อีกหน่อยพระสงฆ์องค์เจ้าในประเทศนี้จะอยู่กันได้อย่างไร  การใส่ร้ายพระผู้ประพฤติดี ปฏิบัติชอบ ง่ายยิ่งกว่า"ปลอกกล้วยเข้าปาก"

บ้านเมืองขณะนี้ แตกแยกทางความคิด จนยากที่จะเยียวยา ก็เหลือแต่หลวงปู่ หลวงตาทั้งหลาย ที่พอจะเป็นที่พึ่งในยามทุกข์  ให้ใจได้พอสงบสุข

จะเสพสื่อ อ่านข่าวอะไร ทางไหนไม่ว่า แค่ขอให้ "คิดก่อนแชร์" อย่ากระพือโหม ให้ไฟแห่งความแค้น ความชิงชัง ในความเห็นต่าง มาทำลายความรักความสามัคคี ของการเกิดเป็น"คนไทย"ด้วยกันเลยนะเจ้าค้า

กึ่งศตวรรษ..